โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted diseases)

โรคที่ติดต่อจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งโดยผ่านการมีเพศสัมพันธ์ แล้วทำให้เกิดโรค ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยเฉียบพลัน ทำให้เกิดภาวะการมีบุตรยาก ทุพลภาพและอาจตายได้ ซึ่งมผลกระทบต่อภาวะสุขภาพกาย และจิตใจและสุขภาพที่รุนแรงต่อทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กได้

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ 

Love2test”></a></div>
<p><strong><mark style=โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted diseases: STD) คือกลุ่มโรคที่เกิดจากการติดต่อผ่านทางเพศกับคนที่เป็นโรค หรือคนที่ติดเชื้อ ทั้งจากการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทวารหนัก และสามารถติดต่อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ ผ่านการถ่ายโอนเลือด หรือการใช้เข็มร่วมกันได้เหมือนกัน

สาเหตุของโรค

สาเหตุของโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

  1. เชื้อไวรัส ซึ่งบางชนิดรักษาหาย บางชนิดไม่มียารักษา บางชนิดจะแฝงตัวและเป็นซ้ำได้อีก เช่น เริม (Herpes Simplex),หูดหงอนไก่ (Papilloma Virus หรือ HPV),เอดส์ (HIV) และไวรัสตับอักเสบบี ฯลฯ
  2. เชื้อแบคทีเรีย รักษาหายได้ด้วยยาปฏิชีวนะ เช่น หนองในแท้ (Gonorrhea),หนองในเทียม (Chlamydia),ซิฟิลิส (Syphilis) และช่องคลอดอักเสบ ฯลฯ
  3. เชื้ออื่นๆ  สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น เชื้อพยาธิ (Trichomanas),เชื้อรา (Candida)

กลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  • คนที่มีคู่นอนมากกว่า 1 คน ในช่วง 3 เดือนก่อนหน้า      
  • ผู้ที่มีประวัติป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ใน 1 ปีที่ผ่านมา
  • ผู้ที่ไม่สวมถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์

อาการแบบใดสงสัยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  

  • ในผู้ชาย ปัสสาวะแสบขัด ขาหนีบบวม เป็นฝี เจ็บปวดอวัยวะเพศ มีผื่น ตุ่ม แผลบริเวณอวัยวะเพศ มีเมือกใสหรือหนองไหลออกมา
  • ในผู้หญิง รู้สึกเจ็บเสียวท้องน้อย ขาหนีบบวม เป็นฝี เจ็บปวด คันอวัยวะเพศ มีผื่น ตุ่ม แผลบริเวณอวัยวะเพศ มีตกขาวสีเหลืองมีกลิ่นเหม็น
อาการของโรค

อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  • ปวด หรือมีตุ่ม มีผื่น หรือแผล ภายนอกอวัยวะเพศ ภายในอวัยวะเพศ หรือบริเวณทวารหนัก เจ็บหรือแสบเวลาปัสสาวะ 
  • มีของเหลวเป็นเมือกใส หรือหนองไหลออกมาจากอวัยวะเพศชาย
  • มีตกขาวสีเหลืองมีกลิ่น มีอาการคัน หรือระคายเคือง และตกขาวผิดปกติแบบเรื้อรังเป็นๆหายๆ
  • อวัยวะเพศหญิงมีเลือดไหลผิดปกติ
  • เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบบวม ปวดบริเวณขาหนีบ
  • ปวดท้องน้อย หรือเจ็บเสียวท้องน้อย
  • มีไข้
  • มีผื่นที่อวัยวะเพศชาย มือ หรือเท้า
  • ปัสสาวะแสบขัด
  • ขาหนีบบวม 
  • เป็นฝี 
  • เจ็บปวดอวัยวะเพศ
  • เชื้อบางชนิด อาจไม่แสดงอาการในระยะแรก หรือบางระยะโรค เช่น หูดหงอนไก่ชนิดที่ก่อมะเร็งปากมดลูก (High risk group HPV), เริม, เอดส์, ซิฟิลิสบางระยะ เป็นต้น

การรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยการกินหรือฉีดยาปฏิชีวนะให้ครบตามแพทย์สั่ง และให้ความสำคัญกับการพาคู่นอนมารับการตรวจรักษา

ส่วนโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสบางชนิดจะอยู่ในร่างกายตลอดชีวิต เช่น เริม การรักษาจะช่วยควบคุมอาการโรคได้ แต่การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น เอชพีวี ร่างกายอาจกำจัดเชื้อได้เอง หากกำจัดไม่ได้เชื้ออาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งในอนาคต 

การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  

  • ใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์   
  • ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
  • ไม่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เสี่ยงติดโรค
  • รักษาความสะอาดร่างกาย และอวัยวะเพศอย่างสม่ำเสมอ                                          
  • ตรวจโรคเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะคู่ที่กำลังจะแต่งงาน  
  • ห้ามร่วมเพศ หากมีประจำเดือน เพราะจะทำให้เพิ่มความเสี่ยงของการติดโรคมากขึ้น
  • ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เพราะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ หากจำเป็นให้สวมถุงยางอนามัย
  • ไม่ควรสวนล้างช่องคลอด เพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ง่าย
  • ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่ยังอายุน้อย เนื่องจากมีสถิติว่า ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อยจะมีโอกาสติด โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สูง
  • ศึกษาเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ปรึกษาแพทย์ เมื่อมีอาการผิดปกติ หรือสงสัยว่าติดต่อโรค
รีบพบแพทย์

การปฏิบัติตัวของผู้ที่เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  • ควรแจ้งให้คู่สามี/ภรรยาแจ้งคู่นอนให้ทราบว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อจะได้ป้องกัน ไม่ให้เชื้อแพร่ไปสู่คนอื่น
  • ต้องรักษาอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรค
  • งดการมีเพศสัมพันธ์ หรือหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ หรือการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้อาการอักเสบลุกลาม และเพื่อไม่ให้เชื้อแพร่ไปยังคนอื่น
  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ของมึนเมาทุกชนิด
  • ให้รีบพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างทันท่วงที และปฏิบัติตัวตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • ไม่ควรซื้อยามารักษาเอง ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง

ใครควรตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  • กำลังวางแผนมีบุตรหรือแต่งงาน เชื้อโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางโรคสามารถส่งต่อไปยังทารกในครรภ์ได้
  • มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยาง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถติดต่อผ่านทางสารคัดหลั่งในช่องคลอด น้ำอสุจิ และเลือด หากไม่ใช้ถุงยางก็มีโอกาสสูงมากที่จะติดโรค
  • เพิ่งเปลี่ยนคู่นอนใหม่ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หลายโรคไม่มีอาการแสดงออกให้รู้ได้เลย ดังนั้นเราไม่อาจแน่ใจได้ว่าคู่นอนของเรามีเชื้อหรือไม่
  • จับได้ว่าแฟนแอบเปลี่ยนคู่นอน เนื่องจากเชื้อสามารถส่งต่อกันได้แม้จะเพิ่งรับเชื้อก็ตาม
  • มีคู่นอนหลายคน หากมีพฤติกรรมเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบัน ก็ควรเข้ารับการตรวจ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไว้เพื่อความชัวร์
  • ถูกล่วงละเมิดทางเพศ มีโอกาสเสี่ยงอย่างมากที่จะติดโรคจากการถูกล่วงละเมิด เพราะไม่ทราบถึงสุขอนามัยของผู้กระทำ
  • เริ่มมีอาการของโรค โรคบางโรคก็อาจแสดงอาการออกมาให้เห็นชัดเจน เช่น ซิฟิลิส หนองใน อาจมีแผลบริเวณอวัยวะเพศ ปัสสาวะแล้วเจ็บ เป็นต้น
วิธีตรวจโรค

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ตรวจจากอะไร?

การตรวจสามารถทำได้หลายวิธี แพทย์จะเลือกการตรวจที่เหมาะสมที่สุดจากการซักประวัติ ซึ่งวิธีตรวจหลักๆ จะมีดังนี้

“Quicky"
  1. ตรวจเลือดหรือปัสสาวะ เป็นการตรวจที่นิยิมที่สุด เพราะสามารถตรวจได้หลายโรค เช่น เชื้อเอชไอวี เริม หนองใน ซิฟิลิส และไวรัสตับอักเสบ
  2. ตรวจภายใน (Pap smears) ปกติแล้วการตรวจด้วยวิธีแปป สเมียร์ เป็นการตรวจเพื่อสังเกตอาการเริ่มต้นของมะเร็งปากมดลูก แต่มะเร็งปากมดลูกก็อาจเกิดจากการติดเชื้อ HPV เมื่อมีเพศสัมพันธ์ได้เช่นกัน
  3. ตรวจสารคัดหลั่ง ในบางกรณีแพทย์อาจใช้การเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากอวัยวะเพศ ปากมดลูก ทางเดินปัสสาวะ หรือทวารหนัก เพื่อนำไปตรวจหาเชื้อได้
  4. ตรวจร่างกาย ในกรณีที่อาการเริ่มแสดงออกมาให้เห็นแล้ว การตรวจร่างกายก็สามารถใช้ประกอบการวินิจฉัยได้ เช่น เริม หูด ซิฟิลิส เป็นต้น

อ่านบทความอื่นๆ

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ :

“ChatLove2test"
  • โรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ https://www.chularat3.com/knowledge_detail.php?lang=th&id=562
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ น่ากลัวแค่ไหน! https://blog.yesmomapp.com//โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์-น่ากลัวแค่ไหน-ad01768dca9e
  • ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์กันเถอะ (STD) https://hdmall.co.th/c/std-test
  • การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ https://www.synphaet.co.th//ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์/
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์คืออะไร และเกี่ยวข้องกับเชื้อ HIV อย่างไร? https://www.caremat.org/โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ/
  • เพศสัมพันธ์กับโรคติดต่อทางนรีเวช https://www.paolohospital.com/th-TH/center/Article/Details/บทความ-สุขภาพผู้หญิง/เพศสัมพันธ์กับโรคติดต่อทางนรีเวช

Similar Posts

  • | |

    ถุงยางอนามัย ป้องกันโรค ป้องกันลูก

    ถุงยางอนามัยมีความสำคัญในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการคุมกำเนิด ในปัจจุบัน มีถุงยางอนามัยให้เลือกใช้ ทั้งแบบสำหรับสตรีและแบบสำหรับบุรุษ  ถุงยางอนามัยคือ? ชนิดของถุงยางอนามัย ถุงยางอนามัยที่มีการผลิตจำหน่ายมี 3 ชนิด โดยแบ่งตามวัสดุที่ใช้ ได้แก่ 1) ชนิดที่ทำจากลำไส้สัตว์ (Skin condom) วัสดุที่ใช้ผลิตเป็นส่วนของลำไส้ส่วนล่างของแกะ ที่เรียกว่า caecum มีความหนา 0.15 มิลลิเมตร มีขนาดความกว้างตั้งแต่ 62 – 80 มิลลิเมตร สวมใส่ไม่รัดรูปแต่ไม่สามารถยืดตัวได้ ให้ความรู้สึกสัมผัสที่ดีในขณะมีเพศสัมพันธ์ เพราะเชื่อว่าวัสดุจากลำไส้สัตว์ สามารถสื่อผ่านความอบอุ่นของร่างกายสู่กันได้ แต่ในประเทศไทยไม่มีการผลิตจำหน่าย เนื่องจากมีราคาสูง 3) ชนิดที่ทำจาก Polyurethane หรือ Polyisoprene (ถุงยางพลาสติก) ปัจจุบันมีการนำวัสดุอื่นมาผลิตเป็นถุงยางอนามัยด้วย เช่น สาร Polyurethane ถุงยางชนิดนี้ให้ความรู้สึกที่ดี เหนียวกว่า ทนต่อการฉีกขาดกว่าแบบที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่กลัวแพ้ยางพารา สามารถใช้สารหล่อลื่นที่ผลิตจากน้ำมันปิโตรเลียม หรือน้ำมันหล่อลื่นผิวหนัง พวก Mineral oil ได้  และที่สำคัญคือสามารถทำให้บางได้ถึง 01…

  • |

    โรคเอดส์ ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ป้องกันได้ รักษาได้

    “โรคเอดส์” หรือ AIDS (Acquired Immune Deficiency Syndrome) เป็นคำที่หลายคนเคยได้ยินมาตั้งแต่อดีต และในบางครั้งยังถูกใช้อย่างคลาดเคลื่อน จนเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคนที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV ซึ่งเป็นไวรัสต้นเหตุของโรคเอดส์อย่างแท้จริง บางคนเข้าใจว่า HIV และเอดส์คือสิ่งเดียวกัน หรือเข้าใจว่าเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาได้และต้องเสียชีวิตในเวลาอันสั้น แต่ในความเป็นจริง ปัจจุบันความรู้ทางการแพทย์ได้พัฒนาไปไกลมาก บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจโรคเอดส์ อย่างถูกต้อง แยกให้ออกระหว่างการติดเชื้อ HIV กับการเป็นเอดส์ พร้อมทั้งพูดถึงวิธีการป้องกัน การรักษา และการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพของผู้ที่ติดเชื้อ HIV ในปัจจุบัน HIV และเอดส์ ต่างกันอย่างไร ? อาการเหล่านี้มักไม่เกิดขึ้นพร้อมกัน และมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล การตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัย HIV จึงเป็นวิธีที่แน่นอนที่สุด การวินิจฉัยและตรวจหา HIV การตรวจ HIV ในปัจจุบันสามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว ทั้งในโรงพยาบาล คลินิกเวชกรรม หรือคลินิกชุมชนที่ให้บริการโดยไม่เปิดเผยชื่อ นอกจากนี้ยังมีชุดตรวจ HIV ด้วยตนเองที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาที่ได้รับอนุญาต การตรวจควรทำภายหลังมีพฤติกรรมเสี่ยงอย่างน้อย 2 – 4 สัปดาห์ และอาจต้องตรวจซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์ หากพบว่าติดเชื้อ…

  • |

    โรคเริม โรคติดต่อทางผิวหนัง ที่เราป้องกันได้

    เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังชนิดหนึ่ง สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยมักพบผู้ป่วยวัยหนุ่มสาว และวัยผู้ใหญ่ ผู้ป่วยโรคเริมส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการของโรค  หากเป็นแล้วสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก เพราะเมื่อเป็นแล้วอาจทำให้การรักษาให้หายขาดได้ยาก โรคเริม (Herpes) คืออะไร การติดเชื้อทั้ง 2  ชนิดนั้น สามารถเป็นปัจจัยสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อที่อวัยวะอื่นๆ ของร่างกายได้เช่นกัน เมื่อร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น การติดเชื้อที่สมอง และอวัยวะสำคัญต่างๆ HSV-1 และ HSV-2 เหมือนกันหรือไม่ ? 1. เริมที่ริมฝีปาก เริมในปาก เริมที่มุมปาก เริ่มต้นจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนและคันบริเวณปากก่อนเกิดผื่น จากนั้นผื่นจะพัฒนาเป็นตุ่มใส และอาจรวมกันเป็นแผลใหญ่ขึ้น ผู้ป่วยมักจะมีไข้ต่ำๆ ร่วมด้วย อาการของโรคแทรกซ้อนที่อาจพบคือ เชื้อไวรัสแพร่ไปติดเนื้อเยื่อข้างเคียง ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องการติดเชื้ออาจทำให้เสียชีวิตได้ 2. เริมที่ขา เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน หรือปวดเสียว อาจมีอาการปวดแปลบมาก่อนที่จะเกิดตุ่มน้ำใสขนาดประมาณ 2-3 มิลลิเมตร โดยจะขึ้นกันเป็นกลุ่ม 3. โรคเริมที่จมูก หรือ โรคเริมที่ตา มีตุ่มน้ำใสเกิดเป็นกระจุกหรือกลุ่ม เมื่อมีอาการผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด ถ้าพบว่ากระจกตาอักเสบจาก Herpes simplex virus…

  • ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีผลกระทบต่อทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์ การติดเชื้อบางอย่างสามารถรักษาได้เพื่อให้คุณ และคู่นอนของคุณมีสุขภาพที่แข็งแรง และคุณเองสามารถป้องกันตัวเองจากการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ STI  คืออะไร? โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่รักษาไม่หายขาด วิธีการป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทำอย่างไรได้บ้าง อ่านบทความอื่นๆ

  • หูดหงอนไก่ ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดหากรู้จักป้องกัน

    หูดหงอนไก่ คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) รอยโรคจะมีลักษณะก้อนหูดขนาดเล็ก ไปจนถึงใหญ่ ตำแหน่งที่มักพบได้บ่อยคือ บริเวณเยื่อบุผิวที่ตำแหน่งอวัยวะเพศ เช่น ปากช่องคลอด ผนังช่องคลอด ปากมดลูก ทวารหนัก ท่อปัสสาวะ เยื่อหุ้มปลายองคชาต หูดหงอนไก่สามารถป้องกันได้โดยการสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้มีการต่อต้านเชื้อไวรัสชนิดนี้ ผ่านการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส HPV ซึ่งสามารถฉีดได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง หูดหงอนไก่มีลักษณะอาการอย่างไร ? หูดหงอนไก่ป้องกันได้อย่างไร ? การป้องกันหูดหงอนไก่ที่ดีที่สุด คือการป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัส HPV เข้าสู่ร่างกาย ด้วยการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย โดยการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ จะช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไวรัสได้ นอกจากนี้ควรเข้ารับการฉีดวัคซีน HPV ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ทั้งหูดหงอนไก่ และมะเร็งปากมดลูก การรักษาหูดหงอนไก่ การรักษาหูดหงอนไก่ทำได้หลายวิธี ได้แก่ หูดหงอนไก่ เมื่อเคยเป็นแล้วสามารถกลับมาเป็นได้อีกถึงร้อยละ 70 หลังจากหยุดการรักษาไป 6 เดือน เนื่องจากไวรัส HPV ไม่ทำให้เซลล์ตายหรือสลายไป การติดเชื้อถูกจำกัดอยู่เฉพาะในชั้นเยื่อบุ ไม่เข้าสู่กระแสเลือดหรือระบบน้ำเหลือง ร่างกายไม่เกิดภูมิต้านทานเหมือนโรคอื่น Post Views: 1,297

  • หนองใน (Gonorrhea) | โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พบได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง

    หนองใน (Gonorrhea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae ส่วนใหญ่ติดต่อกันผ่านทางเพศสัมพันโดยไม่ได้ป้องกัน อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ปัสสาวะแสบขัด หนองจากอวัยวะเพศ หรือมีตกขาวผิดปกติออกมาทางช่องคลอด หนองในสามารถพบได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้การติดเชื้อลุกลามหรือมีภาวะแทรกซ้อนได้ ซึ่งหนองในแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่ การวินิจฉัยหนองใน